ปัจจุบันประเทศอาร์เจนตินาปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย
โดยได้เริ่มประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี
1853 เป็นการปกครองแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขที่มาจากการเลือกตั้ง มีวาระ 4 ปี โดยจะมี 2 สภาที่ทำหน้าที่ตรวจสอบประธานาธิบดี คือ
วุฒิสภา (Senate) มีสมาชิก 72 คน
มาจากการเลือกตั้งจากแต่ละจังหวัดและเขตเมืองหลวงสหพันธ์ เขตละ 3 คน มีวาระ 6 ปี
สภาผู้แทนราษฎร (Chamber of Deputies) มีสมาชิก 257 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระ 4 ปี โดยมีการเลือกตั้งครึ่งหนึ่งทุกสองปี
ในปี ค.ศ.
1930 เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำส่งผลให้ประเทศอาร์เจตินาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจนกระทั่งชนชั้นสูงของประเทศอาร์เจนตินาเริ่มไม่เชื่อมั่นกับระบอบประชาธิปไตย
ทหารจึงใช้อำนาจเผด็จเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกลุ่ม Yrigoyen จนนำมาสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อประชาชนและชนชั้นแรงงาน
ในปี ค.ศ. 1943 นายพล Juan Domingo Peron ได้ทำการรัฐประหาร ต่อมาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในปี 1946 และในปี 1948 เกิดอุดมการณ์ชาตินิยม (Peronism) โดยมีฐานเสียงมาจากกลุ่มสหภาพแรงงาน โดยคะแนนนิยมที่สำคัญมาจาก Eva Duarte de Peron (Evita) ภรรยาของเขา
ในปี ค.ศ.
1955 นาพล Juan Domingo
Peron ถูกทหารทำรัฐประหารและยึดอำนาจ
และเนรเทศ
ในปี ค.ศ. 1973 นาพล Juan Domingo Peron ได้ชนะการเลือกตั้งกลับมาอีกครั้ง และได้เสียชีวิตระหว่างดำรงตำแหน่งทำให้ Isabel Martinez de
Peron ภรรยาคนที่สามของเขาดำรงตำแหน่งแทน แต่การบริหารงานไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้นายพล Jorge Rafael Videla เข้ายึดอำนาจ
ในปี ค.ศ.
1976 นายพล Jorge Rafael Videla ถูกรัฐประหาร
ในปี ค.ศ.
1981 Field Marshal Roberto Viola ทำการปลด Jorge Rafael Videla
จากตำแหน่งและให้ Leopoldo Galtieri ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน แต่ก็ได้ลาออก เนื่องจากกรณีพิพาทหมู่เกาะฟอล์คแลนด์
ในปี ค.ศ. 1983 RaulAlfonsín ได้ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี แต่เขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อได้ ส่งผลให้ Carlos Saul Menem ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการเมืองโดยดำเนินนโยบายกีดกันทหารไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ในปี ค.ศ.
1994 Carlos Saul Menem ได้รับเลือกอีกครั้ง
แต่เขามีความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สามารถดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สามได้
ในปี ค.ศ. 1999 Fernando de la Rua ได้เข้ารับตำแหน่งจากการเลือกตั้ง
ในปี ค.ศ. 2001 เศรษฐกิจถดถอย เกิดการประท้วงและก่อการจลาจล ส่งผลทำให้ Fernando de la Rua ต้องลาออก ทางรัฐสภาก็ได้แต่งตั้ง Eduardo Duhalde ผู้เป็นรองการเลือกตั้งเมื่อปี 1999 เป็นประธานาธิบดีแทน และมีการประกาศแผนเศรษฐกิจโดยการลดค่าเงินเปโซของประเทศลง
ในปี ค.ศ.
1994 Carlos Saul Menem ได้รับเลือกอีกครั้ง
แต่เขามีความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สามารถดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สามได้
ในปี ค.ศ. 1999 Fernando de la Rua ได้เข้ารับตำแหน่งจากการเลือกตั้ง
ในปี ค.ศ. 2001 เศรษฐกิจถดถอย เกิดการประท้วงและก่อการจลาจล ส่งผลทำให้ Fernando de la Rua ต้องลาออก ทางรัฐสภาก็ได้แต่งตั้ง Eduardo Duhalde ผู้เป็นรองการเลือกตั้งเมื่อปี 1999 เป็นประธานาธิบดีแทน และมีการประกาศแผนเศรษฐกิจโดยการลดค่าเงินเปโซของประเทศลง
ในปี ค.ศ. 2003 Nestor Kirchner ขึ้นเป็นประธานาธิบดี โดยมีแนวคิดแบบ Peronism เป็นช่วงที่ประเทศอาร์เจนตินากำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
แต่เขาสามารถบริหารเศรษฐกิจของประเทศจนสามารถผ่านวิกฤตทางเศรษฐกิจมาได้
ในปี ค.ศ. 2007 Fernandez de Kirchner ภรรยาของ Nestor Kirchner ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี
และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา, ยุโรป, รัฐเซีย, จีน และ บราซิล
ในปี ค.ศ. 2010 Global Integrity รายงานว่า
อาร์เจนตินาได้รับคะแนนประเมินโดยรวม 87
คะแนนจาก 100 คะแนนเต็ม ในการป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดย Cristina Fernandez de Kirchner ได้มีความพยายามที่จะฟื้นฟูภาพลักษณ์และแก้ไขปัญหาด้านทุจริตคอร์รัปชันต่างๆ
รัฐบาลได้อัดฉีดเงินงบประมาณเข้าไปในระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อสูง รัฐบาลจึงพยายามฟื้นฟูภาพลักษณ์ของตน และเชิญชวนให้นานาประเทศเข้ามาลงทุนในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานมากยิ่งขึ้น
23 ตุลาคม ค.ศ. 2011 Fernandez de Kirchner ได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สอง ดำเนินนโยบายต่างประเทศ เช่นเดียวกับอดีตประธานาธิบดี Kirchner โดยให้ความสำคัญต่อการเมืองภายในมากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเลือกดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบโดดเดี่ยว (isolation) ดังจะเห็นได้จากความสัมพันธ์ที่ตรึงเครียดระหว่างอาร์เจนตินากับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบเกือบทั้งหมด ได้แก่ ข้อพิพาทเรื่องโรงงานกระดาษกับอุรุกวัย ข้อขัดแย้งด้านพลังงานกับชิลี ปัญหากับบราซิลสืบเนื่องจากมาตรการปกป้องการค้าของอาร์เจนตินา รวมทั้ง ความเหินห่างกับสหรัฐฯ และยุโรป และยังคงอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะมัลวินาส หรือฟอล์คแลนด์ ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างมากจากชนชั้นแรงงาน จนทำให้ชนชั้นกลางและชนชั้นนำไม่พอใจ นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการเจรจากับประเทศพัฒนาแล้วในกรอบ G 20 และ WTO เพื่อให้สหรัฐฯ และ EU ยกเลิกการอุดหนุนสินค้าเกษตรทั้งหมด
ในปี ค.ศ. 2015 Mauricio Macri ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
ดำเนินนโยบายเสรีนิยม และต้องการขจัดความยากจนของประชาชนให้หมดสิ้น
ในปี 2016 สหภาพแรงงานประท้วงนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Mauricio Macri โดยประธานาธิบดี Mauricio Macri มีความสัมพันธ์ไม่สู้ดีกับกลุ่มสิทธิมนุษยชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝ่ายซ้าย
เกิดปัญหาสังคม โดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจซบเซา
ในปี ค.ศ. 2016 ประเทศอาร์เจนตินามีนโยบายพัฒนาความสัมพันธ์กับทุกประเทศ เร่งขับเคลื่อนประเทศกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเสรีโลก และส่งเสริมการค้าการลงทุนกับต่างชาติ เร่งกระชับความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก อย่างเช่น สหรัฐฯ และประเทศในยุโรป แต่ก็ไม่ทิ้งความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนและรัสเซีย และมีการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
เช่น บลาซิล, โคลอมเบีย, เปรู, อุรุกวัย และปารากวัย แต่ถอยห่างจากเวเนซุเอลา, โบลิเวีย และเอกวาดอร์
มีบทบาทบนเวทีระหว่างประเทศ
เช่น การเสนอหาทางออกในประเด็นหมู่เกาะฟอล์กแลนด์/มัลวินัสร่วมกับสหราชอาณาจักรด้วยการเจรจาอย่างสันติในการประชุมของสหประชาชาติ,
มีการขอสมัครเป็น permanent observer ใน Pacific Alliance และ ได้มีประชาสัมพันธ์อาร์เจนตินาว่าเป็นประเทศที่มีการวิจัยและพัฒนาการผลิตพลังงานนิวเคลียร์จากเตาปฏิกรณ์ประเภท low-enriched
uranium
ในปี ค.ศ. 2018 ประเทศอาร์เจนตินาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม G20 summit และประเทศอาร์เจนตินากำลังประสบปัญหาของการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้ออีกด้วย
อ้างอิง https://www.infoplease.com/world/countries/argentinahttps://www.matichonweekly.com/uncategorized/article_22724https://www.ptp.or.th/news/127https://www.nationsencyclopedia.com/World-Leaders-2003/Argentina-POLITICAL-BACKGROUND.htmlhttp://www.thaibizargen.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=540010847https://sites.google.com/site/argentina2499/karmeuxng-kar-pkkhrxnghttp://aspa.mfa.go.th/aspa/th/regional_issues/latin-america/detail.php?ID=1031
ภาพจากสำนักข่าว BBC
คริสตินา เฟอร์นันเดซ เดอ เคิร์ชเนอร์ (Cristina Elisabet Fernández de Kirchner) นั้นเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยเป็นอดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของอาร์เจนตินา เนื่องสามีของเธอนั้นได้แก่ เนสเตอร์ เคิร์ชเนอร์ ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีของประเทศอาร์เจนตินานั่นเอง โดยเธอนั้นได้ชนะการเลือกตั้งและได้ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีของประเทศอาร์เจนติน่าถึง 2 สมัยด้วยกัน ซึ่งในขณะที่สามีของเธอยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีของประเทศอาร์เจนติน่านั้น เธอก็ได้มีบทบาทช่วยเป็นทูตเฉพาะกิจของรัฐบาลอาร์เจนตินาในการช่วยเจรจาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องของความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ และเธอก็ยังได้รับการยกย่องว่าการพูดต่อสาธารณชนของเธอนั้นดีมาก แต่เมื่อสามีของเธอได้เสียชีวิตลงเธอจึงลงสมัครเลือกตั้งและได้รับชัยชนะอย่างล้นหลาม โดยเธอได้รับเสียงสนับสนุนอย่างมากจากกลุ่มของคนจนและกลุ่มคนในชนบท แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีกลุ่มที่ต่อต้านเธอเช่นกัน ได้แก่ กลุ่มชนชั้นกลางในเมือง รวมไปถึงชนชั้นนำ เนื่องจากนโยบายของเธอนั้นมีความเป็นนโยบายที่มีลักษณะเป็นนโยบายแบบประชานิยมค่อนข้างมาก จึงทำให้ชนชั้นกลางและชนชั้นนำไม่เห็นด้วยกับนโยบายของเธอ (ข้อมูลจากพรรคเพื่อไทยhttps://ptp.or.th/news/127)
จอมพลเลโอโปลโด กัลเทียรี
ภาพจากวิกิพีเดีย
จอมพลเลโอโปลโด กัลเทียรี (Leopoldo Galtieri) มีบทบาทสำคัญในการยึดหมู่เกาะฟอล์กแลนด์คืนจากสหราชอาณาจักร โดยสามารถปิดล้อมและยึดเมือง พอร์ต สแตนลีย์ และได้ลดธงของสหราชอาณาจักรลงและเชิญธงของอาร์เจนตินาขึ้นแทน และได้ควบคุมตัวทหารอังกฤษไว้ และยังยังสามารถฆ่าทหารอังกฤษได้ถึง 5 คน บาดเจ็บ 17 คน และทำลายรถถังได้หนึ่งคัน โดยการกระทำเช่นนี้นั้นเป็นสาเหตุทำให้สหราชอาณาจักซึ่งขณะนั้น มาร์กาเร็ต แทชเชอร์ กำลังดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ส่งกำลังทหารเข้ามาบุกยึดเพื่อเอาเกาะฟอล์กแลนด์คืนจากอาร์เจนตินาทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกกันว่าสงครามฟอล์กแลนด์เกิดขึ้น โดยสุดท้ายแล้วสหราชอาณาจักรก็สามารถชิงหมู่เกาะฟอล์กแลนด์กลับคืนมาได้ ในวันที่ 14 มิถุนายน ทำให้ จอมพลกัลเทียรี ถูกศาลตัดสินคดีด้วยข้อหาลิดรอนสิทธิมนุษยชนและปฏิบัติงานล้มเหลวระหว่างสงครามฟอล์กแลนด์ และได้พิพากษาจำคุกเขา 12 ปี
(ที่มา https://m.media-amazon.com/images/M/MV5BZWUxNTRhZTQtNWY5ZC00OWI4LThjZWMtNGVhYWUzMzYxMGY5L2ltYWdlL2ltYWdlXkEyXkFqcGdeQXVyNjU0ODkwMTU@._V1_.jpg)
เป็น 1 ในคณะทหารที่ยึดอำนาจ ในเดือน มิถุนายน ค.ศ. 1943
โดยก่อนหน้านั้น ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแรงงานและสวัสดิการ ในสมัยของประธานาธิบดี
เปโร รามิเรซ
โดยก่อนหน้านั้น ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแรงงานและสวัสดิการ ในสมัยของประธานาธิบดี
เปโร รามิเรซ
หลังจากนั้น ก็ได้เป็นประธานาธิบดีของอาร์เจนตินาในช่วง ค.ศ. 1946-1955 โดยได้รับแรงสนับสนุนเป็นอย่างดีจากสหภาพแรงงานและกองทัพ
ซึ่งมีจุดมุ่งหมายคือการขยายฐานทางการเมืองเพิ่มขึ้น
ซึ่งมีจุดมุ่งหมายคือการขยายฐานทางการเมืองเพิ่มขึ้น
โดยการจัดสวัสดิการและการโฆษณาชวนเชื่อ มีการควบคุมสื่อทุกประเภท ถึงแม้จะมาจากชนะการเลือกตั้ง แต่วิธีการดำเนินการปกครองของ Peronนั้น มีลักษณะไปในเชิงรูปแบบของเผด็จการ โดยในด้านสวัสดิการนั้นมีการทำงานร่วมกันกับทางภริยา ซึ่งก็คือ Evita
พอถึงสิ้นสุดยุคสมัยของ Peron ในเดือนกันยายน ค.ศ.1955 โดยการถูกทำรัฐประหาร ทำให้ต้องหนีไปที่ปารากวัย ต่อมาไปที่นิคารัว เวเนซุเอลา โดมินิกัน และสเปน
ต่อมาอาร์เจนตินาประสบปัญหาเศรษฐกิจและความวุ่นวายทางการเมือง เขาก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ได้เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1974
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลจาก....
zoobzar__04 (2012,กุมภาพันธ์). ประชานิยม – นักบุญหรือคนบาป. [blog]. สืบค้นจาก
https://talk.mthai.com/politics/332835.html
https://talk.mthai.com/politics/332835.html
นับได้ว่าเป็น 1 ในการเดินขบวนครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ โดยในปี ค.ศ.1977 มีชื่อว่า The Madres de la Plaza de Mayo (Mothers of the Plaza de Mayo) เป็นการเดินขบวนของแม่ ๆ ที่โดนพรากจากลูก ในช่วงที่มีการปกครองโดยทหาร ที่เรียกว่า Dirty War ช่วง ค.ศ. 1976 – 1983 โดยมีการเดินขบวนกันทุกวันพฤหัสต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี
โดยการเดินขบวนของกลุ่มเหล่านี้ มีผลให้ประธานาธิบดีหลังจากยุคทหารได้รื้อฟื้นคดี และนำทหารมาขึ้นศาล
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลจาก....
มงคล วัชรางค์กุล (2018,ธันวาคม 29). เที่ยวสุดขอบฟ้า อาร์เจนตินา : Plaza de Mayo อนุสรณ์สถานการ
ปฏิวัติเดือนพฤษภาคม. [คอลลั่มออนไลน์]. สืบค้นจาก
https://www.matichonweekly.com/column/article_157206
ปฏิวัติเดือนพฤษภาคม. [คอลลั่มออนไลน์]. สืบค้นจาก
https://www.matichonweekly.com/column/article_157206
(ที่มา https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/14/Menem_con_banda_presidencial.jpg/440px-Menem_con_banda_presidencial.jpg)
Carlos Menem ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีต่อจากนายฟองซีน และสามารถได้เสียงข้างมากในสภา จากการซื้อเสียง การใช้นโยบายหลอกล่อให้ประชาชนหลงเชื่อ และ โจมตีฝ่ายตรงข้าม
เมื่อได้มาบริหารประเทศได้ระยะสั้น ๆ สื่อต่าง ๆ ในอาร์เจนตินาได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลของเขา โดยสื่อโทรทัศน์ต่าง ๆ รวมทั้งของเอกชนก็ถูกสั่งจากรัฐบาลโดยตรง มักไปในทางปิดหูปิดตาประชาชนเสมอ และพยายามสร้างความนิยมจากประชาชน โดยใช้หลักการประชานิยม คือเอาเงินภาษีประชาชนมาใช้ในการหาเสียงให้เป็นอย่างถูกกฎหมาย
มีการหาวิธ๊การที่จะหยุดการลดค่าเงินเปโซอาร์เจนตินา และได้ตรึงค่าเงินเปโซไว้กับเงินดอลลาร์ แต่ส่งผลให้ค่าเงินเปโซเสียหาย และในเวลาต่อมาทำให้ค่าเงินเปโซแข็งขึ้นและได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของอาร์เจนตินา เมื่อตอนประมาณค.ศ. 1988 ส่งผลให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงให้แก่อาร์เจนตินาเลยทีเดียว
ขอขอบคุณที่มาข้อมูลจาก....
สยามมานุสสติ (2017,เมษายน 14). เหยื่อโซรอส! โมเดลของนโยบายประชานิยมและเผด็จการรัฐสภาของ
อาร์เจนติน่า2001-2002. [Website]. https://1th.me/1gL0
อาร์เจนติน่า2001-2002. [Website]. https://1th.me/1gL0
ประเทศสเปน
ประเทศสเปนนั้นเป็นเจ้าอาณานิคมของประเทศอาร์เจนตินา
และป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานใน อ่าวพลาตา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น
เมืองบูเอโนสไอเรส ซึ่งก็คือเมืองหลวงของประเทศอาร์เจนตินาในปัจจุบัน ซึ่งคำว่า “อาร์เจนตินา” นั้นมาจากรากศัพท์ภาษาสเปนที่แปลว่า “แร่เงิน” ทำให้นักสำรวจคิดว่าดินแดนแห่งนี้มีแร่เงินจึงอยากจะเข้ามา
แต่ความเป็นจริงแล้วดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนที่มีที่ราบกว้างใหญ่
เหมาะแก่การทำการเกษตร นอกจากนี้พื้นที่แห่งนี้ก็ยังมีชาวพื้นเมืองอยู่แค่ไม่กี่แสนคนเท่านั้น
ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ
ทำให้พื้นที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นที่สนใจของประเทศสเปนมากนัก และไม่ให้ใช้ท่าเรือของบูเอโนสไอเรสในการขนถ่ายแร่
แรงงานทาส สินค้า
เพราะกลัวว่าจะไปแข่งกับท่าเรือในแถบเปรูซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางการปกครองของรัฐบาลสเปน
ต่อมาก็ได้มีชาวตะวันตกได้เข้าไปตั้งรกรากในรอบ ๆ ท่าเรื่อบูเอโนสไอเรสมากขึ้น
และค่อย ๆ ยึดดินแดนในอาร์เจนตินาเป็นแหล่งหากินใหม่ มีการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ
เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ โดยพืชที่ปลูกมากที่สุด ได้แก่ ข้าวสาลีข้าวเจ้า ข้าวโพด ปอ
ฝ้าย และ มะละกอ ส่วนสัตว์ที่เลี้ยงมากที่สุดคือ ม้า วัว แกะ และลา
ซึ่งชาวตะวันตกเหล่านี้ก็ได้จับชาวพื้นเมืองมาเป็นแรงงาน
ในตอนแรกก็เป็นระบอบเศรษฐกิจแบบพอเพียงในตนเอง ค้าขายกับพื้นที่อื่นในวงแคบ
แต่พอเริ่มที่จะสามารถพัฒนาตนเองได้แล้วก็เริ่มติดต่อค้าขายกับพื้นที่อื่น ๆ
มากขึ้น แล้วก็ทำให้ค่อย ๆ พัฒนากลายมาเป็นประเทศอาร์เจนตินาในเวลาต่อมา
พอในช่วงหลังปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นชาวยุโรปก็เริ่มที่จะหาวัตถุดิบมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
ซึ่งก็ทำให้ประเทศสเปนจึงเริ่มเห็นถึงความสำคัญของดินแดนในแถบอาร์เจนตินา
จึงเริ่มพัฒนาเมืองหลวงของอาร์เจนตินาและยึดเอาอาร์เจนตินาเป็นอาณานิคมอย่างเป็นทางการและส่งข้าหลวงมาอยู่ที่เมืองบูเอโนสไอเรส
และก็ได้เปลี่ยนนโยบายจากตอนแรกจำกัดการใช้ท่าเรือ
มาเป็นส่งเสริมการขนถ่ายสินค้าผ่านท่าเรือแห่งนี้
แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นการค้าขายกับประเทศสเปนเท่านั้น ซึ่งการที่สเปนจำกัดการค้าขายนั้นทำให้เกิดปัญหาระหว่างสเปนกับอาร์เจนตินา
เนื่องจากสเปนไม่สามารถซื้อสินค้าของอาร์เจนตินาได้ทั้งหมด
และก็ไม่สามารถผลิตสินค้าที่อาร์เจนตินาต้องการได้
นอกจากนี้ยังไม่สามารถหาแรงงานทาสให้อาร์เจนตินาได้ตามจำนวนที่ต้องการ
ดังนั้นพอสเปนยุ่งอยู่กับสงครามในยุโรป
ชาวบูเอโนสไอเรสก็ฉวยโอกาสขับไล่ข้าหลวงของสเปนออกไป จนสุดท้ายจังหวัดต่างๆในอาร์เจนตินาก็รวมตัวกันประกาศเอกราชจากสเปนในที่สุด
IMF
เนื่องจากสถานการณ์โลกได้เกิดปัญหาเรื่องราคาน้ำมัน จากการโค่นบังลังก์ของพระเจ้าซาร์ในอิหร่าน
ทำให้ประเทศอาร์เจนตินาต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อน้ำมัน
จึงทำให้ขาดดุลการค้ากับต่างประเทศ
เมื่อนักลงทุนเห็นดังนั้นจึงเริ่มจะถอนเงินออกไป
แต่สถาบันการเงินไม่สามารถจะหาเงินให้ถอนได้เนื่องจากไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากคนที่กู้ไปได้
เนื่องจากก่อนหน้านั้นมีมาตรการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศซึ่งได้ผลดี
ทำให้สถาบันการเงินมีเงินฝากเยอะมากจากทั้งนักลงทุนต่างประเทศ และชาวอาร์เจนตินา
ทำให้สถาบันการเงินเกิดการแข่งขันกันเพื่อแย่งลูกค้า
จึงทำให้มีมาตรการการให้กู้ยืมเงินอย่างหละหลวม เช่น
การให้กู้โดยประเมิณค้ำประกันที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
โดยเงินที่ถูกกู้เหล่านี้ถูกกู้ไป สร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักร
อย่างไรก็ตามเงินส่วนมากนั้นถูกกู้ไปซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่มีราคาถูก
และถูกกู้เงินไปซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไร
จึงทำให้เมื่อเกิดวิกฤตราคาน้ำมันสถาบันการเงินจึงไม่มีเงินพอให้นักลงทุนถอนเงินออกไป
และไม่มีเงินมาใช้ดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับต่างประเทศได้ ทำให้ธนาคารใหญ่ ๆ
และสถาบันการเงินหลายแห่งล่มสลาย ซึ่งปัญหาที่กล่าวมาเหล่านี้นำมาสู่ฟองสบู่แตก
ซึ่งวิกฤตทางเศรษฐกิจนี้รัฐบาลจึงลดค่าเงินเปโซลง ลดค่าใช้จ่ายของรัฐ
งดขึ้นเงินเดือนและบำนาญข้าราชการ ประกอบกับการแพ้สงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์
ทำให้อาร์เจนตินาต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับอังกฤษเป็นจำนวนมาก
ทำให้เศรษฐกิจยิ่งทรุดตัวหนักกว่าเดิมจนเกือบจะล้มละลาย ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินจาก
IMF เพื่อใช้หนี้ต่างประเทศในงวดที่จะถึงชั่วคราว แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีภาวะเงินเฟ้อ
และก็ค่อย ๆ เลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไปถึง 1,000%ต่อปี
จนทำให้ต้องกู้เงินจาก IMF อีกครั้ง ซึ่ง IMF เองก็ให้รัฐบาลตัดค่าใช้จ่ายของรัฐที่ไม่จำเป็นออกไป
ในช่วงแรกรัฐบาลทำไม่ได้ ทำให้ IMF
ไม่ยอมให้กู้อีกและมองว่าเป็นประเทศเบี้ยวหนี้ และอาจจะคว่ำบาตรอาร์เจนตินา
จนเมื่อกลางปี 1985 รัฐบาลจึงต้องเริ่มจะทำตามมาตรการและก็ยังเข้มงวดกว่ามาตรการของ
IMF อีกด้วย
แต่รัฐบาลก็พยายามชักจูงประชาชนว่าทำแบบนี้เศรษฐกิจจะขยายตัว ค่าเงินจะมั่นคง
ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงในระยะหนึ่ง ทำให้ประชาชนสนับสนุนรัฐบาล
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ ประชานิยม:
ทางสู่หายนะ ของท่านดร. ไสว บุญมา
และจากข่าวล่าสุดประเทศอาร์เจนตินาก็ได้ขอกู้เงินจาก IMF อีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจากข้อมูลจากข่าว (http://thaitribune.org/contents/detail/310?content_id=33258&rand=1535704227)
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม
2561ที่ผ่านมา นายเมาริซิโอ มาครี (Mauricio
Macri) ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีอาร์เจนตินา
ได้ออกแถลงการณ์ว่า การเข้าถึงเงินช่วยเหลือของ IMF ที่เร็วขึ้น
จะสามารถช่วยลดความผันผวนของเศรษฐกิจและช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาดให้กลับมาอีกครั้ง
ทั้งนี้การขอความช่วยเหลือทางการเงินอย่างเร่งด่วนจาก IMF ของประธานาธิบดีอาร์เจนตินานั้น
ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะที่ผ่านมา
ประเทศอาร์เจนตินามีความสัมพันธ์ระหองระแหงกับ IMF มาตลอดหลายสิบปี
เนื่องจากประเทศอาร์เจนตินาผิดนัดชำระหนี้กับ IMF เมื่อ 17
ปีที่แล้ว เป็นมูลค่าถึง 8 หมื่นล้านดอลลาร์
โดยนางคริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการของIMF
ได้ตอบสนองคำขอร้องของประธานาธิบดี เมาริซิโอ มาครี บอกว่ายินดีพิจารณาปล่อยเงินกู้ให้เร็วกว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้แต่เดิม
และอ้างความจำเป็นที่ต้องช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนยินดีให้ความช่วยเหลืออาร์เจนตินาในการสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจให้กลับคืนมา
ซึ่งช่วงตั้งแต่ต้นปี 2562 จนถึงเดือนสิงหาคมค่าเงินเปโซได้ร่วงไปกว่า
40 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
เป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อที่ทะยานไม่หยุด เพราะราคาสินค้าอุปโภค
บริโภคที่จำเป็นส่วนใหญ่ยังอิงกับค่าเงินดอลลาร์ ทำให้คนไม่เชื่อมั่นในค่าเงินเปโซ
โดยรัฐบาลอาร์เจนตินานั้นได้เคยเจรจาขอกู้เงินในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และ
IMF ได้อนุมัติตามคำขอ
ผู้นำรัฐบาลกล่าวในช่วงนั้นว่าการขอกู้เป็นเพียงมาตรการเผื่อเหลือเผื่อขาดโดยไม่คาดหวังว่าจะต้องจำเป็นขอเบิกใช้เงินกู้ก้อนนี้
ซึ่งถึงแม้ว่าจะได้คำรับรองถึงมาตรการอุ้มโดย IMFก็ตาม
แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็ไม่กระเตื้องขึ้น การที่มาครีชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีภายใต้การหาเสียงว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศซึ่งระส่ำระสายจากผลของนโยบายประชานิยมสารพัด
อาร์เจนตินาเคยเกือบล่มสลายในยุคปี 1980
กว่า ต้องถูกเจ้าหนี้บังคับซื้อทรัพย์สินของประเทศในราคาถูก
ชาวอาร์เจนตินาอยู่ในสภาพลำบาก หลังจากที่ประเทศเคยรุ่งเรือง เป็นอันดับต้นๆ
ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอาหาร เป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรป้อนชาวโลกอีกด้วย
วิกฤตหนี้ของอาร์เจนตินาเกิดขึ้นพร้อมกับหนี้กลุ่มประเทศละตินอเมริกา ต้องกู้เงินจากไอเอ็มเอฟเพื่อความอยู่รอด กว่าจะฟื้นตัวได้ต้องใช้เวลานาน
อาร์เจนตินาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจซ้ำรอยในปี 2001
เมื่อรัฐบาลไม่สามารถชำระหนี้คืนให้เจ้าหนี้ได้ตามกำหนด อาร์เจนตินาอาศัยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงทำให้ประเทศปลดหนี้เงินกู้ไอเอ็มเอฟได้ในปี
2007 สภาวะเศรษฐกิจเริ่มมั่นคง
มีเสถียรภาพภายใต้ประธานาธิบดี เนสเตอร์ เคิร์ชเนอร์ ในช่วงปี 2003-2007 ต่อมานางคริสตินา เคิร์ชเนอร์ สืบทอดตำแหน่งจากสามี ช่วงปี 2007-2015
ก็ได้เพิ่มงบการใช้จ่ายภาครัฐ ยึดกิจการของเอกชนเข้าเป็นของรัฐ
และจ่ายเงินหนุนสินค้าต่างๆ อัตราสาธารณูปโภค การถ่ายทอดสดแข่งฟุตบอลทางทีวี รัฐบาลมีนโยบายคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ นำไปสู่การซื้อขายในระบบตลาดมืด
ราคาสินค้าก็ไม่สะท้อนความเป็นจริงของต้นทุนและค่าครองชีพ
จนกระทั่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งเพราะข้อครหาด้านการทุจริตกว้างขวาง
ล่าสุดมาถึงปัจจุบัน
อาร์เจนตินาเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจซ้ำรอยอีกครั้ง ค่าเงินเปโซตกต่ำ รัฐบาลไม่สามารถลดระดับอัตราเงินเฟ้อได้ ซึ่งสูงสุดในกลุ่มประเทศ จี-20 รัฐบาลของมาคริไม่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจตามคำมั่นที่ให้ไว้กับไอเอ็มเอฟ
โดยเงื่อนไขส่วนใหญ่ระบุถึงการคุมค่าใช้จ่ายภาครัฐและการกู้หนี้
ผู้นำรัฐบาลยังไม่สามารถทำตามคำมั่นที่ให้ไว้แก่ประชาชนช่วงการหาเสียง
ชาวอาร์เจนตินายากจนลง ข้าวของแพง
ประะานาธิบดีมาครีออกทีวีชี้แจงประชาชนถึงปัญหาที่เผชิญอยู่
“ตลอดกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีแต่ความรู้สึกคนโดยทั่วไปว่าขาดความเชื่อมั่นในตลาด
โดยเฉพาะด้านขีดความสามารถของรัฐบาลในการรับสภาพการเงิน แรงกดดันในปี 2019
รัฐบาลได้พยายามสร้างความเชื่อมั่นต่อไอเอ็มเอฟด้วยการจ่ายเงินล่วงหน้าให้ก่อนเพื่อเป็นหลักประกันว่ามีเงินพร้อมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ
สำหรับโครงการในปีหน้า
และเป็นการสร้างความแน่นอนว่าทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้ ข้อเสนอนี้เองที่ทำให้ไอเอ็มเอฟยอมปล่อยเงินกู้ช่วงการเจรจาในเดือนพฤษภาคม
นักลงทุนแสดงความกังวลว่ารัฐบาลอาร์เจนตินาจะไม่สามารถจ่ายคืนหนี้สินก้อนใหญ่
และผลสุดท้ายจะผิดนัดการชำระหนี้
การเร่งปล่อยเงินกู้ไอเอ็มเอฟสะท้อนให้เห็นสภาวะที่อาร์เจนตินาเดือดร้อนสุดขีด
ต้องพยายามไม่ให้เศรษฐกิจล่ม
บรรษัทข้ามชาติ
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.youtube.com/watch?v=biD94Fsk-Ko
ซึ่งจะขอยกตัวอย่างของ ห้างคาร์ฟูร์ที่เป็นของฝรั่งเศส และไปเปิดสาขาในประเทศอื่น ๆ
ทั่วโลก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีประเทศอาร์เจนตินารวมอยู่ด้วย ซึ่งรัฐบาลของอาร์เจนตินาก็เปิดให้เข้าไปลงทุนและการที่สินค้าจากห้างมีราคาถูกก็ทำให้คนไปซื้อสินค้าในห้าง
แต่ถึงอย่างไรก็ตามเงินที่ซื้อนั้น คนอาร์เจนตินาไม่ได้อะไรกลับมาเลย
เพราะเงินพวกนี้กลับไปสู่บริษัทแม่หมด ทำให้ เงินไหลออกจากอาร์เจนตินาไปสู่ต่างชาติ ซึ่งผู้เป็นนายทุนก็ได้ประโยชน์มหาศาลแต่ชาวอาร์เจนตินาเองไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากได้รายได้จากการเป็นแรงงาน
เช่น คนงานเข็นรถใส่ของ คนงานทำความสะอาด
หรือพนักงานรักษาความปลอดภัย เป็นต้น
บทบาทตัวแสดงระดับรัฐ
ด้านพรรคการเมือง
มีการยึดครองอำนาจผ่านการเลือกตั้งอันยาวนานของพรรคเดียว อย่างเช่น พรรค Justicialist Party ที่ได้นางคริสตินา เคิร์ชเนอร์ (Cristina Kirchner)
ที่เป็นอดีตประธานาธิบดีที่ครองอำนาจเป็นระยะเวลานาน โดยพรรคนี้
ตั้งอยู่บนพื้นฐานประชานิยม ตั้งแต่สมัยฮวน โดมิงโก เปรอน (Juan Dominco Peron) ในปี ค.ศ.1947 (พ.ศ.2491) ทำให้ชนะการเลือกตั้ง 9 ครั้ง จากการสถิติลงสมัครทั้งหมด 12 ครั้ง
ก่อนที่จะแพ้ลง โดยพรรค Justicialist Party ครองอำนาจติดต่อกันนานถึง 12 ปี (ตั้งแต่ปี2003)
โดยการขึ้นมามีอำนาจของพรรค Justicialist Party ในช่วงแรก ตั้งอยู่บนพื้นฐานประชานิยม พร้อมทั้งใช้ความเป็นชาตินิยมปลุกเร้าประชาชน ให้เกิดความต้องการที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศอาร์เจนตินา ภายใต้การปกครองของพรรค Justicialist Party หรือที่ประชาชนในสังคมโลกเรียกกันว่า “ระบอบ Peronism” โดยระบอบนี้เป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมอย่างมากของกลุ่มสหภาพแรงงานต่าง ๆ ในอาร์เจนตินา และมีฐานเสียงแข็งแกร่งอย่างมากในเขตพื้นที่ชนบท มีมาตรการขึ้นเดือนขั้นต่ำ และมีการจ่ายเงินเดือนในวันหยุด
ระบอบ Peronism ใช้เงินจากภาครัฐ นำไปใช้สนับสนุนกับโครงการต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ สภาวะเศรษฐกิจก็ขึ้น ๆ ลง ๆ มีการพยายามคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นเผด็จการแบบที่นักวิชาการเรียกว่า “Competitive Authoritarianism” คือ มีการแข่งขันเลือกตั้ง แต่มีฝ่ายหนึ่งที่มีชัยชนะเกือบจะตลอดเวลา โดยการคุมอำนาจอย่างยาวนานของพรรค Justicialist Party ทำให้ระบอบ Peronism มีศัตรูจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตย นักสิทธิมนุษยชน และ ฝ่ายค้าน แต่ครั้งหนึ่งนั้น ระบอบ Peronism ก็ได้รับความสำเร็จอย่างยาวนานในสนามเลือกตั้ง
โดยการขึ้นมามีอำนาจของพรรค Justicialist Party ในช่วงแรก ตั้งอยู่บนพื้นฐานประชานิยม พร้อมทั้งใช้ความเป็นชาตินิยมปลุกเร้าประชาชน ให้เกิดความต้องการที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศอาร์เจนตินา ภายใต้การปกครองของพรรค Justicialist Party หรือที่ประชาชนในสังคมโลกเรียกกันว่า “ระบอบ Peronism” โดยระบอบนี้เป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมอย่างมากของกลุ่มสหภาพแรงงานต่าง ๆ ในอาร์เจนตินา และมีฐานเสียงแข็งแกร่งอย่างมากในเขตพื้นที่ชนบท มีมาตรการขึ้นเดือนขั้นต่ำ และมีการจ่ายเงินเดือนในวันหยุด
ระบอบ Peronism ใช้เงินจากภาครัฐ นำไปใช้สนับสนุนกับโครงการต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ สภาวะเศรษฐกิจก็ขึ้น ๆ ลง ๆ มีการพยายามคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นเผด็จการแบบที่นักวิชาการเรียกว่า “Competitive Authoritarianism” คือ มีการแข่งขันเลือกตั้ง แต่มีฝ่ายหนึ่งที่มีชัยชนะเกือบจะตลอดเวลา โดยการคุมอำนาจอย่างยาวนานของพรรค Justicialist Party ทำให้ระบอบ Peronism มีศัตรูจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตย นักสิทธิมนุษยชน และ ฝ่ายค้าน แต่ครั้งหนึ่งนั้น ระบอบ Peronism ก็ได้รับความสำเร็จอย่างยาวนานในสนามเลือกตั้ง
นายฮวน โดมิงโก เปรอน
ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/0/09/
Discurso_de_Per%C3%B3n.jpg
ในยุคต่อมาเมาริซิโอ
มาครี ตัวแทนพรรคอนุรักษนิยมของอาร์เจนตินา (PRO) สามารถคว้าชัยชนะเหนือตัวแทนจากพรรค Justicialist Party ที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน
โดยชนะจากพรรคคู่แข่ง คือพรรค Justicialist Party เพียงแค่ 3% ของผลโหวตทั้งหมด
นายเมาริซิโอ มาครี
ในบริบทการเมืองขวา-ซ้าย ฝ่ายขวา คือ กลุ่มอนุรักษนิยม มีจุดยืนที่ว่ารัฐบาลไม่ควรเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจ
หรือบริการทุก ๆ อย่างทางสังคมให้กับประชาชน รัฐบาลไม่ควรมีอำนาจมากเกินไป และไม่ควรเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
เพราะพวกเขาจะให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางสังคม ประเพณี และวัฒนธรรมต่าง ๆ ส่วนฝ่ายซ้าย
คือ กลุ่มที่ได้รับแรงสนับสนุนจากรากหญ้า มีความเป็นสังคมนิยมและประชานิยม คิดว่ารัฐบาลควรตอบโจทย์ทุกอย่างเพื่อสังคม
จะให้อำนาจในการทำทุกอย่างกับรัฐบาลมาก รัฐจะใช้จ่ายมากเพื่อสนับสนุนโครงการต่าง ๆ
จะค่อนข้างไม่ลงรอยกับภาคเอกชนมากนัก
นายมาครีวางบทบาทของตนเองในฐานะนักการเมืองกลางค่อนไปทางขวา เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นลูกของผู้อพยพ นายมาครีเป็นผู้นับถือคริสต์ศาสนาที่เคร่งครัด ในระหว่างการหาเสียงเขาพยายามไม่พูดถึงเรื่องมรดกตกทอดจากยุคของนายเปรอน ผู้เป็นฮีโร่ของของชาวชนบท และกลุ่มสหภาพแรงงานต่าง ๆ ในเชิงลบมากนัก แต่เขากลับพยายามเข้าถึงกลุ่มผู้ที่ยังรำลึกถึงยุคของนายเปรอน เขาเข้าร่วมพิธีร้องเพลงสรรเสริญนายเปรอน และร่วมพิธีเปิดอนุสรณ์สถานของนายเปรอน มีการหาเสียงอยู่ครั้งหนึ่ง นายมาครีพูดกับกลุ่มสหภาพแรงงานซึ่งเป็นฐานเสียงของนางเคิร์ชเนอร์และกลุ่ม Peronist ถึงขนาดว่า เขานั้นเป็น “Peronist 100%” โดยสโลแกนของนายมาครีในการหาเสียงคือ “Let’s change” แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเขาต้องการการสนับสนุนจากกลุ่มสหภาพแรงงาน โดยจะเน้นหาเสียงไปทางเชิงปรองดอง คือ ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ลดเลิกการขัดแย้ง และไม่ได้เรียกร้องให้มีการ ปิดเพื่อเปลี่ยนแปลง วิธีการหาเสียงนายมาครีนั้น ดูเหมือนว่าจะสามารถก้าวข้ามความบาดหมางในอดีต และพูดถึงเรื่องอนาคตมากกว่าในเชิงนโยบาย นายมาครีจะกล่าวย้ำอยู่ตลอดเวลาในช่วงหาเสียงว่า “นโยบายอะไรที่ดีของประธานาธิบดีเคิร์ชเนอร์ ที่ดีอยู่แล้วเขาก็จะเก็บไว้และทำให้ดีกว่าเดิม” ฐานเสียงของนายมาครีคือคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมาก่อน เขาใช้อาสาสมัครวัยรุ่นที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงและเบื่อหน่ายการเมืองเก่า ๆ เป็นคนช่วยหาเสียงผ่านทางโลกโซเชียล ก่อนการเลือกตั้ง พรรค PRO ของนายมาครีได้ประกาศเป็นพันธมิตรกับพรรค Radical Civic Union Party ซึ่งเป็นพรรคกลางเอียงซ้าย (ในอดีตเป็นพันธมิตรกับพรรคในระบอบ Peronism) ทำให้ฐานเสียงของนายมาครีนั้นได้รับการขยายออกจากเมืองใหญ่ไปในชนบทด้วย
นายมาครีวางบทบาทของตนเองในฐานะนักการเมืองกลางค่อนไปทางขวา เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นลูกของผู้อพยพ นายมาครีเป็นผู้นับถือคริสต์ศาสนาที่เคร่งครัด ในระหว่างการหาเสียงเขาพยายามไม่พูดถึงเรื่องมรดกตกทอดจากยุคของนายเปรอน ผู้เป็นฮีโร่ของของชาวชนบท และกลุ่มสหภาพแรงงานต่าง ๆ ในเชิงลบมากนัก แต่เขากลับพยายามเข้าถึงกลุ่มผู้ที่ยังรำลึกถึงยุคของนายเปรอน เขาเข้าร่วมพิธีร้องเพลงสรรเสริญนายเปรอน และร่วมพิธีเปิดอนุสรณ์สถานของนายเปรอน มีการหาเสียงอยู่ครั้งหนึ่ง นายมาครีพูดกับกลุ่มสหภาพแรงงานซึ่งเป็นฐานเสียงของนางเคิร์ชเนอร์และกลุ่ม Peronist ถึงขนาดว่า เขานั้นเป็น “Peronist 100%” โดยสโลแกนของนายมาครีในการหาเสียงคือ “Let’s change” แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเขาต้องการการสนับสนุนจากกลุ่มสหภาพแรงงาน โดยจะเน้นหาเสียงไปทางเชิงปรองดอง คือ ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ลดเลิกการขัดแย้ง และไม่ได้เรียกร้องให้มีการ ปิดเพื่อเปลี่ยนแปลง วิธีการหาเสียงนายมาครีนั้น ดูเหมือนว่าจะสามารถก้าวข้ามความบาดหมางในอดีต และพูดถึงเรื่องอนาคตมากกว่าในเชิงนโยบาย นายมาครีจะกล่าวย้ำอยู่ตลอดเวลาในช่วงหาเสียงว่า “นโยบายอะไรที่ดีของประธานาธิบดีเคิร์ชเนอร์ ที่ดีอยู่แล้วเขาก็จะเก็บไว้และทำให้ดีกว่าเดิม” ฐานเสียงของนายมาครีคือคนรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมาก่อน เขาใช้อาสาสมัครวัยรุ่นที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงและเบื่อหน่ายการเมืองเก่า ๆ เป็นคนช่วยหาเสียงผ่านทางโลกโซเชียล ก่อนการเลือกตั้ง พรรค PRO ของนายมาครีได้ประกาศเป็นพันธมิตรกับพรรค Radical Civic Union Party ซึ่งเป็นพรรคกลางเอียงซ้าย (ในอดีตเป็นพันธมิตรกับพรรคในระบอบ Peronism) ทำให้ฐานเสียงของนายมาครีนั้นได้รับการขยายออกจากเมืองใหญ่ไปในชนบทด้วย
ด้านทหารในการเมือง
จากประวัติศาสตร์อาร์เจนตินาที่ผ่าน ๆ มา มีการพยายามทำรัฐประหารทั้งหมด ประมาณ 11 ครั้ง มีจำนวนปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จ 6 ครั้ง ตัวอย่างเช่น การรัฐประหารครั้งหนึ่ง เกิดในปี ค.ศ. 1955 หลังจากที่นายเปรอนครองอำนาจมา 8 ปี ปัญหาเศรษฐกิจ จากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด และความนิยมของเปรอน ทำให้เสมือนกับเป็นลัทธิบูชาบุคคล เกิดข้อพิพาทระหว่าง Peronist และกลุ่มอำนาจเดิม ที่นำโดย ผู้นำนิกายคาทอลิก และกลุ่มนักธุรกิจภาคเอกชน ส่วนฝ่ายค้านในทางการเมืองในขณะนั้นก็เรียกร้องและต่อต้านรัฐบาลของนายเปรอน โดยที่นักเขียน นักข่าว นักคิดทางสังคม ที่คิดต่างจากนายเปรอนนั้น ถูกจับเข้าคุก บางส่วนก็ถูกเนรเทศออกนอกประเทศ
จากประวัติศาสตร์อาร์เจนตินาที่ผ่าน ๆ มา มีการพยายามทำรัฐประหารทั้งหมด ประมาณ 11 ครั้ง มีจำนวนปฏิวัติที่ประสบความสำเร็จ 6 ครั้ง ตัวอย่างเช่น การรัฐประหารครั้งหนึ่ง เกิดในปี ค.ศ. 1955 หลังจากที่นายเปรอนครองอำนาจมา 8 ปี ปัญหาเศรษฐกิจ จากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด และความนิยมของเปรอน ทำให้เสมือนกับเป็นลัทธิบูชาบุคคล เกิดข้อพิพาทระหว่าง Peronist และกลุ่มอำนาจเดิม ที่นำโดย ผู้นำนิกายคาทอลิก และกลุ่มนักธุรกิจภาคเอกชน ส่วนฝ่ายค้านในทางการเมืองในขณะนั้นก็เรียกร้องและต่อต้านรัฐบาลของนายเปรอน โดยที่นักเขียน นักข่าว นักคิดทางสังคม ที่คิดต่างจากนายเปรอนนั้น ถูกจับเข้าคุก บางส่วนก็ถูกเนรเทศออกนอกประเทศ
การยึดอำนาจของทหารในครั้งนั้นดูเหมือนจะได้รับแรงสนับสนุนจากหลาย
ๆ สถาบันทางการเมืองและชนชั้นกลางของอาร์เจนตินา และหลังจากรัฐประหารครั้งนั้น นายเปรอนเองก็ได้ถูกเนรเทศออกนอกประเทศ
ต่อมาไม่นาน ในปีค.ศ. 1958 ฝ่ายทหารที่ยึดครองอำนาจก็จัดการเลือกตั้ง โดยพรรค Justicialist Party ของนายเปรอนนั้นถูกห้ามลงแข่งขัน และพรรค Radical Civic Union Party ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการเมืองของกลุ่มนายเปรอนได้ครองอำนาจ
นำมาซึ่งความวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง และเกิดการรัฐประหารขึ้นอีกในปีค.ศ. 1962, ค.ศ. 1966
และ ค.ศ. 1976
โดยในการรัฐประหารปี ค.ศ. 1976 มีความสำคัญมาก คือ เป็นการรัฐประหารที่ทำการยึดอำนาจจาก อิสเบล เปรอน ภรรยาคนที่สามของนายเปรอน ที่ขึ้นสู่อำนาจหลังจากนายเปรอนเสียชีวิตลง แม้รัฐบาลพลเรือนของนางอิสเบล เปรอน ในช่วงก่อนการปฏิวัติปี 1976 ได้มีการข่มขู่และทำร้ายผู้เห็นต่างทางการเมือง แต่การยึดอำนาจของทหารกลับทำให้เหตุการณ์เลวร้ายมากขึ้นในตลอดช่วงปี 1976-1983 จากการที่กองทัพครองอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้น การท้าทายของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในยุคนั้น ทำให้การปกครองของกองทัพเต็มไปด้วยการใช้กำลังกับผู้ที่กองทัพเห็นว่าอาจฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ กลายเป็นเหตุการณ์ที่อาจเรียกได้ว่า “ขวาพิฆาตซ้าย” ของอาร์เจนตินา
โดยในการรัฐประหารปี ค.ศ. 1976 มีความสำคัญมาก คือ เป็นการรัฐประหารที่ทำการยึดอำนาจจาก อิสเบล เปรอน ภรรยาคนที่สามของนายเปรอน ที่ขึ้นสู่อำนาจหลังจากนายเปรอนเสียชีวิตลง แม้รัฐบาลพลเรือนของนางอิสเบล เปรอน ในช่วงก่อนการปฏิวัติปี 1976 ได้มีการข่มขู่และทำร้ายผู้เห็นต่างทางการเมือง แต่การยึดอำนาจของทหารกลับทำให้เหตุการณ์เลวร้ายมากขึ้นในตลอดช่วงปี 1976-1983 จากการที่กองทัพครองอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้น การท้าทายของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในยุคนั้น ทำให้การปกครองของกองทัพเต็มไปด้วยการใช้กำลังกับผู้ที่กองทัพเห็นว่าอาจฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ กลายเป็นเหตุการณ์ที่อาจเรียกได้ว่า “ขวาพิฆาตซ้าย” ของอาร์เจนตินา
รัฐประหารปี1976 ที่มาภาพ: http://www.irishtimes.com/polopoly_fs/1.1583538.1383588933!/image/image.jpg_gen/derivatives/box_620_330/image.jpg
กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง
ยกตัวอย่างเช่น ขบวนการปีเกเตโรส์
แห่งอาร์เจนตินา เป็นขบวนการทางสังคมที่เกิดขึ้นมา
หลังจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการลุกฮือทางสังคมในอาร์เจนตินา เมื่อปีค.ศ. 2001 ซันตีญานถูกตำรวจอาร์เจนตินายิงเสียชีวิตพร้อมกับเพื่อนนักเคลื่อนไหว
มักซีมิเลียโน คอสเตกี แต่จิตวิญญาณแห่งการขัดขืนของทั้งสองยังคงอยู่ในตัวนักจัดตั้งอีกจำนวน
15,000 คน ที่มาชุมนุมกัน เพื่อรำลึกวันครบรอบสิบปีของการเสียชีวิตและการเรียกร้องหาความยุติธรรม
โดยสมาชิกจากองค์กรของคนงานไร้งาน นักศึกษา แรงงานค่าจ้างต่ำและองค์กรฝ่ายซ้ายอื่น
ๆ รวม ๆ แล้วหลายร้อยองค์กร ร่วมกันปิดสะพานปูเอนเตปวยรีโดน ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมกรุงบัวโนสไอเรสกับย่านชานเมืองทิศใต้
ในช่วงระหว่างการลุกฮือของประชาชนในวันที่
19 และ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2001 ประชาชนเสียชีวิตด้วยเงื้อมมือตำรวจไปแล้วถึง 39 คน เมื่อประธานาธิบดีเฉพาะกาล นายเอดูอาร์โด ดูอัลเด
ขึ้นดำรงตำแหน่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2002 เขาเดินหน้า
“สร้างระเบียบ” ให้สังคมและสานต่อนโยบายปราบปรามการประท้วง
โดยในวันที่ 26 มิถุนายน ขบวนการแรงงานไร้งานและสมัชชาละแวกบ้านทั่วทั้งกรุงบัวโนสไอเรสและปริมณฑลร่วมกันวางแผนปิดถนนเข้าออกเมืองหลวงทุกสาย ซันตีญานและคอสเตกีเป็นส่วนหนึ่งของ MTD สาขาอานิบัลเวโรน ซึ่งประกอบด้วย MTD ย่อย ๆ หลายสิบแห่งมารวมตัวกัน และรับผิดชอบปิดสะพานปูเอนเตปวยรีโดนในเมืองอาเวญาเนดา
ซึ่งนักจัดตั้งทุกคนรู้ดีว่ามีความเสี่ยงที่จะถูกปราบปราม แต่ไม่มีใครเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญจริง
ๆ ตำรวจที่มาปราบปรามไม่ได้ติดอาวุธแค่แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง
แต่มาพร้อมปืนลูกซองบรรจุกระสุนจริง ตำรวจยิงกราดเข้ามาในแถวของปีเกเตโรส์ ซึ่งมีทั้งผู้หญิงและเด็ก อีกทั้งผู้เข้าร่วมจำนวนมากเป็นเพื่อน สมาชิกในครอบครัวและกอมปันเญอโร
(สหาย) ที่ไม่เคยปล่อยให้วันที่ 26 มิถุนายนของทุกปีผ่านไปโดยปราศจากงานชุมนุมรำลึกข้ามคืนมาตั้งแต่
ค.ศ. 2002
โดยคอสเตกีและซันตีญานนั้นไม่ได้เป็นแค่เหยื่อการกดขี่ของรัฐ แต่เป็นสัญลักษณ์ของคนหนุ่มสาวชนชั้นแรงงานรุ่นใหม่ที่ตอบโต้ต่อความยากจนขั้นร้ายแรงในอาร์เจนตินา หนึ่งทศวรรษของนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ในอาร์เจนตินาทำให้หลาย ๆ เมืองปราศจากงาน การศึกษาและสาธารณูปโภคพื้นฐาน อันเป็นชนวนให้เกิดขบวนการปีเกเตโรส์ละแวกบ้านและขบวนการแรงงานไร้งาน (MTDs) ขึ้น เนื่องจากไม่มีกระบอกเสียงทางการเมือง ขบวนการเหล่านี้จึงใช้วิธีเรียกร้องด้วยการปิดถนนสายสำคัญ ๆ และขัดขวางการขนส่งสินค้าเข้าสู่เมืองหลวง
โดยคอสเตกีและซันตีญานนั้นไม่ได้เป็นแค่เหยื่อการกดขี่ของรัฐ แต่เป็นสัญลักษณ์ของคนหนุ่มสาวชนชั้นแรงงานรุ่นใหม่ที่ตอบโต้ต่อความยากจนขั้นร้ายแรงในอาร์เจนตินา หนึ่งทศวรรษของนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ในอาร์เจนตินาทำให้หลาย ๆ เมืองปราศจากงาน การศึกษาและสาธารณูปโภคพื้นฐาน อันเป็นชนวนให้เกิดขบวนการปีเกเตโรส์ละแวกบ้านและขบวนการแรงงานไร้งาน (MTDs) ขึ้น เนื่องจากไม่มีกระบอกเสียงทางการเมือง ขบวนการเหล่านี้จึงใช้วิธีเรียกร้องด้วยการปิดถนนสายสำคัญ ๆ และขัดขวางการขนส่งสินค้าเข้าสู่เมืองหลวง
ต่อมา จากปัญหาที่สำคัญ คือปัญหาคอร์รัปชั่น ในการเมืองอาร์เจนตินา ทำให้ประชาชนออกมาประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ในยุคของนางเคิร์ชเนอร์นั้นเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ปีค.ศ. 2012 หลังจากนางเคิร์ชเนอร์ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง สภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ปัญหาคอร์รัปชันที่หยั่งลึก และการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เธอกลับมาเลือกตั้งได้เป็นครั้งที่สาม (รัฐธรรมนูญอาร์เจนตินากำหนดให้บุคคลหนึ่งสามารถเป็นนายกฯได้ 2 สมัย) การประท้วงในครั้งนั้นเกิดขึ้นในหลายจังหวัดของอาร์เจนตินาและในหลายประเทศที่มีชาวอาร์เจนตินาอาศัยอยู่ จำนวนประชาชนที่ออกมาประท้วงนั้นประมาณ 500,000-2,000,000 คน โดยเมาริซิโอ มาครี นักการเมืองฝ่ายค้านในขณะนั้น ก็ได้ร่วมประท้วงด้วย ผลสรุปของการประท้วงครั้งนั้น แสดงให้เห็นถึงพลังประชาชนที่พร้อมจะตรวจสอบและเรียกร้องความชอบธรรมจากรัฐบาลของนางเคิร์ชเนอร์ ในที่สุดพรรคของนางเคิร์ชเนอร์ก็ล้มเลิกความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้นางลงเลือกตั้งอีกสมัย การที่ประชาชน ผู้ประท้วง และนักการเมืองฝ่ายค้าน ออกมาชุมนุมประท้วงตามสิทธิที่พึงมีตามหลักประชาธิปไตย และยังยึดมั่นกับหลักการประชาธิปไตย แม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจต่อระบอบ Peronism เพียงใด ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่ทำให้ประชาชนผู้เห็นต่าง ผู้ซึ่งต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของครอบครัวเคิร์ชเนอร์นานเป็นเวลา 12 ปี และสามารถโค่นล้มระบอบ Peronism ผ่านการเลือกตั้งอย่างใสสะอาดได้ในที่สุด
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ
การที่กลุ่มสิทธิสตรีในอาร์เจนตินาออกมาเรียกร้องกฎหมายอนุญาตทำแท้งไม่ผิดกฎหมาย โดยในที่สุดสภาผู้แทนราษฎรอาร์เจนตินาเห็นชอบร่างกฎหมายว่าด้วยการทำแท้งฉบับใหม่ด้วย129 เสียง ต่อ 125เสียงที่ไม่เห็นด้วย หลังอภิปรายถึง22ชั่วโมง
โดยการร่างกฎหมายนี้ จะให้สิทธิผู้หญิงสามารถทำแท้งได้ เมื่ออายุครรภ์ไม่ถึง
14 สัปดาห์ เป็นต้น
0 ความคิดเห็น